นายพรชัย อยู่ประยงค์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากสำนักงานแรงงานในประเทศซาอุดีอาระเบีย (กรุงริยาด) ถึงเรื่องแรงงานหญิงไทยที่เมืองดูไบถูกนายจ้างทำร้าย
ทั้งนี้สำนักงานแรงงานในประเทศซาอุดีอาระเบีย (กรุงริยาด) ได้รับการแจ้งประสานจากสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองดูไบว่า ได้ให้ความช่วยเหลือ นางรัสมี คำหอมสกุล แรงงานหญิงไทยที่ไปทำงานเป็นพนักงานนวดให้กับร้านสปา Soft Hand Massage Centre แต่ถูกนายจ้างทำร้ายร่างกาย ถูกบังคับให้นวดลูกค้าผู้ชาย ใช้ให้ทำงานตั้งแต่เวลา ๑๐.๐๐-๒๔.๐๐ น. และจัดที่พักอาศัยให้อยู่ในร้านแทนการจัดหาที่พักให้ และเมื่อสถานกงสุลฯ พาไปเจรจาที่กระทรวงแรงงานสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) แล้ว นายจ้างยังปฏิเสธที่จะจ่ายค่าจ้างและค่าล่วงเวลาค้างจ่ายจำนวน ๓,๐๐๐ ดีแรห์ม (1SAR เท่ากับ ๙.๐๒ บาท) รวมทั้งไม่ยอมจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินเพื่อส่งกลับประเทศไทยด้วย จึงได้พาลูกจ้างไปฟ้องศาล ซึ่งศาลนัดพิจารณาคดีตั้งแต่วันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๒ ที่ผ่านมา
สถานกงสุลฯ ณ เมืองดูไบ แจ้งเพิ่มเติมว่า นายจ้างดังกล่าวเป็นสามีภรรยาสัญชาติจีนชื่อ นาย Joi และนาง Jennifer โดยเป็นเจ้าของร้านสปารวม ๓ ร้าน คือ ร้าน Total Relax Spa ร้าน Touch Sense Spa รวมถึง Soft Hand Massage Centre ด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้สถานกงสุลฯ ก็เคยได้รับเรื่องร้องทุกข์จากแรงงานหญิงไทย ๒ คนทำงานที่ร้าน Touch Sense Spa มาแล้ว นอกจากนี้จากการตรวจสอบใบทะเบียนการค้ายังพบว่าร้านสปาดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาตให้นวดลูกค้าชาย ซึ่งคนงานก็ได้แจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจข้อหาบังคับให้นวดลูกค้าชายด้วยแล้ว สถานกงสุลฯ จึงเห็นว่า เพื่อมิให้แรงงานหญิงไทยถูกนายจ้างรายนี้กระทำการเอารัดเอาเปรียบแรงงานไทยหรืออาจถูกทำร้ายร่างกายได้ จึงควรป้องกันไว้เสียแต่ต้นโดยจะไม่ประทับตรารับรองเอกสารการจ้างงานของร้านสปาทั้งสามร้านนี้อีกต่อไป
สำหรับสำนักงานแรงงานในประเทศซาอุดีอาระเบีย (กรุงริยาด) เองนั้น พิจารณาแล้วเห็นว่านายจ้างมีพฤติกรรมที่เอารัดเอาเปรียบแรงงานไทย และไม่ยอมให้ความร่วมมือต่อหน่วยราชการไทยในการแก้ไขปัญหา จึงเห็นควรไม่อนุญาตให้แรงงานไทยไปทำงานกับร้านสปาทั้งสามร้านนี้ และมอบหมายให้กรมการจัดหางานพิจารณาแจ้งบริษัทจัดหางานและประชาสัมพันธ์ให้คนหางานได้ทราบถึงพฤติกรรมเพื่อไม่ให้แรงงานหญิงไทยสมัครไปทำงานกับนายจ้างรายนี้โดยตรงต่อไปด้วย