ภาพรวมของเศรษฐกิจ
เดิมเศรษฐกิจและการดำรงชีวิตของชาวซาอุดิอาระเบียขึ้นอยู่กับการเลี้ยงสัตว์แบบเร่ร่อน การทำเกษตรกรรมตามแหล่งโอ เอซิส ที่มีอยู่พอประมาณของประเทศ ทำประมงชายฝั่ง ค้าขายตามชายแดน และกับเรือสินค้าที่เข้ามาถ่ายลำสินค้าตามท่าชายฝั่ง( Burayda และ Unayza ใน Najd ) และ การเข้ามาจับจ่ายใช้สอยของนักแสวงบุญในแต่ละปี (Mecca, Jidda, และ Medina ) ต่อมาได้มีการค้นพบแหล่งน้ำมันในช่วง ปลายทศวรรษที่ 1930 แต่จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง
ซาอุดิอาระเบียจึงได้ผลิตน้ำมันอย่างจริงจังเป็นล่ำเป็นสันป้อนต่ออุตสาหกรรมโลกอย่างต่อเนื่องตลอดมาจนถึงปัจจุบัน การค้นพบน้ำมันดังกล่าวนี้ทำให้ฐานะของประเทศเปลี่ยนไปจากความเป็นประเทศรายได้น้อยและด้อยพัฒนาไปสู่ความเป็นประเทศมหาเศรษฐีของโลก และ เป็นประเทศรัฐอุปถัมภ์ที่มีขีดของการพัฒนาที่สูงและรวดเร็วที่สุดประเทศหนึ่งในโลก
ซาอุดิอาระเบียมีแหล่งน้ำมันสำรองที่มีปริมาณมากที่สุดในโลก เฉพาะในส่วนที่ได้ค้นพบและรับรองแล้วโดยประมาณมีมากถึง 263 พันล้าน บาเรลล์ หรือเท่ากับ หนึ่งในสี่ของปริมาณน้ำมันทั้งหมดที่มีสำรองอยู่ในโลก ซาอุดิอาระเบียจึงเป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นผู้นำที่ทรงอิทธิพลใน กลุ่ม OPEC ซึ่งเป็นองค์กรมีส่วนสำคัญในการกำหนดราคาน้ำมันของโลก รายรับของประเทศส่วนใหญ่มาจากการส่งออกน้ำมัน ดังนั้นเศรษฐกิจของประเทศจะขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันโลกโดยตรง นอกจากนี้ ประเทศซาอุดิอาระเบียยังมีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆที่สำคัญอีกด้วย เช่น ก๊าซธรรมชาติ เหล็ก และทองคำ เป็นต้น
กว่าร้อยละ 95 ของการผลิตน้ำมันในซาอุดิอาระเบียอยู่ภายใต้บริษัท Saudi ARAMCO ซึ่งเป็นของรัฐบาล เป็นวิสาหกิจการผลิตน้ำมัน และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ที่ครบวงจรที่ทรงอิทธิพลและใหญ่ติดอันดับโลก ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นประกอบกับปริมาณผลผลิตที่มากขึ้นทำให้ซาอุดิอาระเบียมีบัญชีที่เกินดุลการค้าถึง 123.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2005 และ ในปี 2006 ถึงแม้ผลผลิตจะมีปริมาณลดลงแต่ราคาน้ำมันดิบที่ถีบตัวสูงขึ้นก็ยังสร้างรายได้มหาศาลให้กับซาอุดิอาระเบียส่งผลให้เกินดุลโดยประมาณ ถึง 143.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนที่เกินดุลที่กล่าวมานับเป็นร้อยละ 28.1 ของ GDP ปี 2005 และ ร้อยละ 29.7% โดยประมาณของ GDP ปี 2006
โดยเฉลี่ยแล้วในสองทศวรรษที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์น้ำมันคิดเป็น ร้อยละ 90 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของประเทศ และเป็นรายได้ให้กับรัฐ ถึงร้อยละ 70 จากหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงปัจจุบันและแนวโน้มต่อไปในอีก10 ปีข้างหน้า เศรษฐกิจของซาอุดิอาระเบียก็ยังจะต้องขึ้นอยู่กับน้ำมันและราคาน้ำมันโลก เป็นหลัก
ดัชนีเศรษฐกิจ
GDP (purchasing power parity) : 374 พันล้านเหรียญสหรัฐ (2006 est)
GDP (official exchange rate) : 286.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ (2006 est)
GDP – real growth rate : ร้อยละ 5.9
GDP – per capita (ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในต่อหัว) : 13,800 เหรียญสหรัฐ (2006est)
GDP Per Capita ของซาอุดิอาระเบียมีแนวโน้มที่จะลดลงเนื่องมาจากอัตราที่เพิ่มขึ้นของประชากรที่ มีมากกว่าอัตราความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ
GDP- composition by secter (2006 est.) : agriculture: ร้อยละ 3.3 industry: ร้อยละ 67 services: ร้อยละ29.8
ด้านแรงงาน
มีแรงงานประมาณ 7.125 ล้านคน ประชากรที่อยู่ในกลุ่มอายุระหว่าง 15-64 ปี มากกว่า ร้อยละ35 เป็นผู้ถือสัญชาติอื่น (2006 est)
แรงงานในภาคธุรกิจต่างๆ ประกอบด้วย
– ภาคการเกษตร ร้อยละ 12
– ภาคอุตสาหกรรม ร้อยละ 25
– ภาคการบริการ ร้อยละ 63
อัตราการว่างงาน (2004 est) ร้อยละ 13
อัตราเงินเฟ้อ (2006 est) ร้อยละ 1.9
สาขาอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ คือ crude oil production, petroleum refining, basic petrochemicals; ammonia, industrial gases, sodium hydroxide (caustic soda), cement, fertilizer, plastics; metals, commercial ship repair, commercial aircraft repair, construction.
สาขาเกษตร (Agriculture products) ได้แก่ wheat, barley, tomatoes, melons, dates, citrus; mutton, chickens, eggs, milk.
การค้าระหว่างประเทศ
มูลค่าการส่งออก (2006) 204.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
คู่ค้าส่งออกสำคัญ : สหรัฐฯ 16.8%, ญี่ปุ่น 16.5%, เกาหลีใต้ 9.3%, จีน 7.1%,
สิงค์โปร์ 5.2% และ ไต้หวัน 4.3%
สินค้าส่งออกสำคัญ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันร้อยละ 90
มูลค่าการนำเข้า (2006) 64.16 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
คู่ค้านำเข้าสำคัญ: สหรัฐฯ 14.8% ญี่ปุ่น 9% เยอรมันนี 8.2%, จีน 7.4% และอังกฤษ 4.7%
สินค้านำเข้าสำคัญ เครื่องจักร และ อุปกรณ์ ยานยนต์ อาหาร เคมีภัณฑ์ ผ้าผืน และเครื่องนุ้งห่ม
12890